เว็บไซต์กำลังจะตาย (The Day the Web Died) ผู้ที่พูดประโยคนี้ คือ “Chris Anderson” บรรณาธิการนิตยสาร Wired เจ้าของหนังสือ “The Long Tail” และ “Free” ได้เขียนเอาไว้ในปีพ.ศ. 2553 เมื่อบทความนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
และตอนนี้ ก็ปีพ.ศ. 2563 แล้ว ผ่านมา 10 ปี แต่เว็บไซต์มันก็ยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน ยังคงโลดแล่น อยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต ให้เราได้เข้าไปอ่าน ไปใช้งานกันอยู่
วิวัฒนาการของเว็บไซต์
10 ปีที่ผ่านมาที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุดของวิวัฒนาการของเว็บไซต์ก็คือ
- เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้ทุกขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็ปเล็ต pc หรือ notebook ที่เรียกกันว่า responsive web design
- เว็บไซต์สามารถออกแบบและการทำงานต่างๆ เหมือนแอป แต่มีข้อดีคือไม่ต้อง download เข้าเว็บใช้งานได้เลย แถมยังมีระบบแจ้งเตือน และระบบการทำงานออฟไลน์ได้ด้วย เรียกกันว่า Progressive Web App
- เว็บไซต์สมัยใหม่ ปรับตัวเองให้สามารถโหลดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ ไม่เกิน 3 วินาที เว็บก็แสดงผลได้ครบถ้วนหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า เว็บไซต์กำลังจะตาย มันไม่ใช่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ ตอนนี้เว็บมันไม่ได้กำลังจะตาย แต่มันกำลังพัฒนาตัวมันเอง ให้ดีขึ้นในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านการค้นหา SEO ของเว็บไซต์คือพระเอกในด้านนี้มากๆ ที่แอป หรือ เว็บ social ต่างๆ ยังไม่สามารถเข้ามาสู้ได้ในแบบวงกว้าง
เรายังจำเป็นต้องมีเว็บไซต์กันอยู่ไหม?
ในโลกขณะนี้ เป็นยุคของ social เฟื่องฟู ไม่ว่าเราจะเอาของไปขายตาม Ecommerce Platform ต่างๆ ที่มีให้ใช้ฟรี มากมาย ก็สะดวกสบายไม่เห็นว่าจะจำเป็นต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองไปทำไม
แต่เราอาจจะลืมไปว่า ทุกอย่างที่เรากำลังทำอยู่ คือ เราเป็นได้มากสุด แค่พ่อค้า แม่ค้าเช่าแผงในตลาดสด เราไม่สามารถออกแบบ หรือ สร้างอะไร ในรูปแบบที่เราต้องการได้อย่างอิสระ เพราะเราเช่าพื้นที่เขาอยู่ หรือจะขึ้นมาเป็นเจ้าของตลาดเองก็ไม่ได้
การขายของตาม Social ต่างๆ ก็เช่นกัน ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่า สิ่งที่เราขายๆกันอยู่ ข้อมูลจะไม่หายไป เพจจะไม่ถูกปิด account จะไม่ถูกยกเลิก และข้อมูลลูกค้าต่างๆ ก็กระจัดกระจาย เก็บไม่เป็นระเบียบ
แต่การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง จะสามารถดีไซน์หน้าร้าน รูปแบบการเก็บข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียดกว่า และข้อมูลเหล่านี้ ก็จะอยู่กับเรา เราเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมด
อย่างที่มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า บนโลกออนไลน์นั้น ทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดคือ data ข้อมูลผู้ใช้งานนั่นเอง
ข้อดีของการมีเว็บไซต์
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเรามากขึ้น
- ลูกค้าสามารถค้นหาเราพบเจอได้ในระบบ ของ google search
- มีหน้าร้านออนไลน์เป็นของตัวเอง ดีไซน์ ตกแต่ง หน้าร้านได้เต็มที่
- มีการเก็บข้อมูลที่เป็นระเบียบ ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่าย และสะดวก ซึ่ง social ยังทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย ในด้านการหาข้อมูล และการจัดเก็บข้อมูล
- สามารถเชื่อมต่อกับ Platform อื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็น facebook , line , instagram หรือตัวอื่นๆ เพราะฉะนั้น สามารถทำงานควบคู่ไปพร้อมกันได้
- ไม่ต้องกลัวการปิดตัว หรือการเปลี่ยนแปลง เพราะเราคือเจ้าของเว็บไซต์ แต่ถ้าเราไปใช้งานตาม social ต่างๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข กติกา หรือ มีการปิดตัวลง สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดในนั้น ก็จะสูญหาย หรือเปลี่ยนแปลง ทำตามกติกาของเขาไป เพราะเราไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง